Last updated: 27 ส.ค. 2567 | 1052 จำนวนผู้เข้าชม |
พยาธิหนอนหัวใจภัยร้ายใกล้สัตว์เลี้ยงของคุณ
โรคพยาธิหนอนหัวใจ เเค่ได้ยินชื่อเจ้าของหลายคนคงจะคุ้น ๆ กันเเน่ เนื่องจากเป็นโรคที่สัตวแพทย์มักจะพูดถึงเวลาพาสุนัขหรือเเมวไปหาหมอ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความสำคัญเเละความอันตรายของโรคนี้กันว่าทำไมสัตวแพทย์ถึงชอบย้ำเตือนให้ป้องกันการเกิดโรคนี้
เกิดจากอะไร? ติดต่อได้อย่างไร?
เกิดจากพยาธิที่ชื่อว่า Dirofilaria immitis ซึ่งมียุงเป็นพาหะนำโรค
โดยวงจรการเกิดโรคเริ่มจากสุนัขตัวที่เป็นโรคจะมีตัวอ่อนระยะที่ 1 อยู่ภายในตัว เมื่อยุงมากัดสุนัขตัวนี้ก็จะได้รับตัวอ่อนไป เเละเกิดการพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3 เเละเมื่อยุงตัวนี้ไปกัดสุนัขที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน ก็จะส่งผ่านตัวอ่อนระยะที่ 3 ไป เเละเกิดการพัฒนาเป็น ตัวอ่อนระยะที่ 4 เเละตัวเต็มวัยตามลำดับ โดยใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน เเละตัวเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้สามารถอยู่ได้นานถึง 5-7 ปี
พยาธิตัวเต็มวัยจะอยู่ในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจไปที่ปอด (pulmonary atery) ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองเเละการอักเสบของหลอดเลือด ทำให้โครงสร้างของหลอดเลือดเปลี่ยนแปลงไป เกิดการลอกหลุดของชั้นเยื่อบุหลอดเลือด เหนี่ยวนำให้เกิดการเข้ามาของเกร็ดเลือด ทำให้เกิดการตีบเเคบเเละขดงอของ pulmonary artery ซึ่งกระบวนการนี้จะเริ่มเกิดหลังจากที่มีตัวเต็มวัยของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในหลอดเลือด 3-4 สัปดาห์
หากเริ่มมีจำนวนของพยาธิหนอนหัวใจมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อปอดเเละหัวใจ เกิดภาวะหัวใจวายได้
เเละถ้าพยาธิเริ่มเกิดการตาย เศษซากของมันก็จะล่องลอยไปในเส้นเลือดเเละเหนี่ยวนำให้เกิดการอุดตันในปอดได้อีกด้วย
ความเสี่ยงในการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ
สุนัขที่มักจะเป็นโรคนี้มักอยู่ในช่วงอายุ 4-8 ปี เเละจากงานวิจัยพบว่าเพศผู้จะเกิดการติดโรคได้มากกว่าเพศเมียถึง 2-4 เท่า เเละมักพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่เลี้ยงนอกบ้าน ไม่ได้ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเป็นประจำ โดยอาการของสุนัขคือ
อาการที่พบ คือ
วิธีการตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคพยาธิหนอนหัวใจทำได้โดย
1. ใช้เลือดสดดูผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจในกระแสเลือด
2. ใช้ชุดทดสอบหาภาวะการติดเชื้อของโรคพยาธิหนอนหัวใจ เป็นการตรวจวิเคราะห์ทางอิมมูโนโครมาโตกราฟฟี่ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที มีความแม่นยำสูง ทำให้สัตวแพทย์วางแผนการดูแลหรือรักษาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
3.ตรวจด้วยเอ็กซเรย์ วิธีนี้จะใช้ดูภาพเงาของขนาดหลอดเลือดที่อยู่ในช่องอก และขนาดของหัวใจ
4.ตรวจด้วยอัลตราซาวด์ วิธีนี้สามารถมองเห็นภาพพยาธิหนอนหัวใจที่อยู่ในห้องหัวใจของสัตว์ป่วยได้
การรักษา
การรักษาสามารถเเบ่งเป็นการรักษาทางยาในกรณีที่มีจำนวนของพยาธินอนหัวใจไม่เยอะมาก โดยแผนการรักษา ดังนี้
สำหรับในกรณีที่พบว่าสุนัขป่วยที่มีจำนวนพยาธิหัวใจปริมาณมาก ร่วมกับการเกิดพยาธิสภาพของหัวใจ ปอด ตับ ทำให้ไม่สามารถรักษาแบบการใช้ยาอย่างเดียวได้ เพราะสัตว์มีความเสี่ยงและอาจเสียชีวิตจากการให้ยาฆ่าพยาธิตัวแก่ จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยการเปิดหลอดเลือดดำที่บริเวณคอและใช้เครื่องมือช่วยในการนำพยาธิหัวใจออกมา ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สามารถเอาจำนวนพยาธิออกได้ทั้งหมด แต่จะช่วยลดพยาธิสภาพและการอุดตันของพยาธิตัวเต็มวัยที่อยู่ในหัวใจหรือหลอดเลือดที่ปอด ทำให้สัตว์ป่วยมีอาการดีขึ้นก่อนที่จะทำการรักษา พยาธิตัวเต็มวัยด้วยวิธีอื่นต่อไป
ขอขอบคุณภาพจาก: American Heartworm Society
จะเห็นได้ว่าเมื่อสุนัขหรือเเมวเกิดการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจเเล้ว ส่งผลต่อสุขภาพค่อนข้างมากเเละอาจเหนี่ยวนำให้เกิดการเสียชีวิตได้อีกด้วย เเละการรักษากินเวลาค่อนข้างนานเเละมีความเสี่ยงในการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดในปอดค่อนข้างง่าย
ดังนั้นการป้องกันเเละสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคนี้ เเละทางที่ดีสุนัขหรือเเมวควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละครั้ง